วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ขั้นตอน การทำธุรกิจเครือข่าย









ก่อนที่เราจะทำอะไรซักอย่าง เราต้องศึกษา เรียนรู้ เพื่อที่จะให้เข้าใจ อย่างถ่องแท้ในสิ่งที่เราจะทำนั้นๆ และเพื่อการแก้ไขปัญหา
การพัฒนาต่างๆ ในอนาคต ให้มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงค่ะ

ดังนั้นก่อนที่จะทำธุรกิจเครือข่ายเราจึงต้องศึกษาและทำเป็นขั้นตอนคือ
1. ทำการศึกษาข้อมูล ประวัติบริษัท ว่ามั่นคงขนาดไหน
2. ตัวผลิตภัณฑ์ หรือสินค้า (ควรเป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป เป็นสิ่งจำเป็น)
และสินค้าก็ควรมีคุณภาพดี สมกับราคา เพราะจะทำให้เกิดการซื้อขาย
จริง (สินค้าที่ดี ใครๆก็อยากซื้อ จริงไหม)
3. แผนงาน ซึ่งแสดงรายได้ ควรยุติธรรม และยั่งยืน ควรดูว่ารายได
้มาจากอะไร มาจากการที่หาคนแล้วได้เปอร์เซนต์ (อันนี้เป็นลูกโซ่)
หรือมาจากการซื้อขายสินค้าทั่วๆไป แล้วเอากำไรมาปันส่วนกัน






4. ระบบต่าง ๆ ของทีมงาน ว่ามีแนวทางในการช่วยเหลือ ลูกทีมให้ประสบ
กับความสำเร็จอย่างไร

เมื่อศึกษาให้เข้าใจแล้วก็เริ่มลงมือทำกันต่อเลยค่ะ
การทำงานมี 2 แบบ คือ Online หรือ Offline
................................................................................
ONLINE










1. โพสท์กระทู้ตามเว็บบอร์ดต่าง ๆ โดย เข้า Search Engine
และพิมพ์ “ ตั้งกระทุ้ใหม่ “ หรือ พิมพ์ ”โฆษณาฟรี “ เตรียมข้อความที่จะโพสท์เพื่อให้ดึงดูดคนเข้ามาดู
เพื่อให้ได้รายชื่อ หรือให้คนเข้าเว็บให้มากที่สุด เพื่อเราจะได้โทรตอบข้อซักถามและปิดการขายหรือปิดขึ้นศูนย์ธุรกิจ

2.ส่ง E-mail โดยตรงให้เพื่อนให้คนรู้จักเข้าเยี่ยมชมให้มากที่สุด
ที่สำคัญไม่คิดแทนเค้าหรือไม่ตัดสินใจแทนเค้าว่าเค้าไม่ชอบ ว่าเค้าไม่ทำ
ว่าเค้าไม่สะดวกเรามีหน้าที่ประชาสัมพันธ์ออกไปอย่างสม่ำเสมอ

3. หรือลงโฆษณาตามเว็บที่มีคนสนใจเข้าและมีคุณภาพ และ
หรือตามงบประมาณที่พอจ่ายได้

4. Chat พูดคุย MSN
...............................................................................................
OFFLINE








1.การพูดคุยโดยตรงแนะนำคนรู้จักของคนรู้จัดบอกต่อ
2.ใบปลิว
3.ซองพลาสติกขนาดเท่าซองบัตรโทรศัพท์ใส่ใบปลิวติดกระดาษกาวด้านหลังไป
ติดตาม ตู้ ATM หรือหลังห้องน้ำ( หญิงไปติดหญิง-ชายไปติดชาย)
4.Pull Tab กระดาษริ้ว ๆ เพื่อให้ผู้สนใจดึงเบอร์และชื่อเราไปได้โดยไม่ต้องจด
5.แบบสอบถาม
6.โฆษณาทางหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ
7.ไปรษณียบัตร
.............................................................................................

จากนั้นเมื่อคุณได้รับรายชื่อแล้วควรติดต่อเข้าไปแนะนำตัว
ภายใน 24 ชั่วโมงค่ะ ปัจจัยที่สำคัญที่จะช่วยให้สำเร็จในการตลาดออนไลน์
ต้องโฟกัสและสม่ำเสมอในการทำทุกวัน ต้องติดตามและประเมินผล
อย่างต่อเนื่อง หาเครื่องมือทางอีเมลที่มีประสิทธิภาพเพื่อใช้ในการติดต่อ
กับสมาชิกใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ยิ่งถ้าคุณมีเวลาที่จำกัดต้องเลือกทำงานที่มีประสิทธิภาพที่สุดก่อนค่ะ

ดังนั้นต้องใช้เวลาในการที่จะทำความรู้จักและสร้างความเชื่อมั่น
เมื่อ คุณประสบความสำเร็จหรือรู้อะไรใหม่ ๆ ก็ควรที่ต้องแบ่งปันให้ผู้อื่น โดยเฉพาะดาวน์ไลน์ของคุณ เพราะว่าสุดท้ายสิ่งที่ดีก็จะกลับมาตกที่คุณ และคุณก็จะได้เป็นผู้นำที่ดีด้วยค่ะ
ต้องมีความสุภาพ, สื่อสัตย์, เป็นมิตร และให้ความช่วยเหลือกันเสมอ
อย่าใช้คำเยาะเย้ยหรือดูถูกผู้อื่นออนไลน์ เพราะนั่นเท่ากับเป็นการไม่ให้
เกียรติกัน หาผู้ที่ประสบความสำเร็จหรือเข้ามาศึกษาระบบการตลาด
ออนไลน์มาก่อนเพื่อศึกษา และเรียนรู้จากเขาเหล่านั้นค่ะ เพราะว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จและเป็นผู้นำที่ดีนั้นยินดีที่จะให้คำแนะนำ
หรือแบ่งปันความรู้ให้ แต่เราก็จะต้องเคารพในเวลาและความเป็นส่วนตัว
ของเขาด้วยอย่ายอมแพ้ นั่นเป็นคาถาที่สำคัญในการทำงานเลยทีเดียว
เลยค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความแตกต่างระหว่าง ธุรกิจเครือข่ายกับ ระบบแชร์ลูกโซ่

การตลาดแบบเครือข่าย






1.ค่าธรรมเนียมในการเริ่มต้นธุรกิจ ใช้เงินลงทุนต่ำ โดยเป็นค่าสมัครเท่านั้น

2.จำหน่ายสินค้าหลากหลายชนิดที่มีคุณภาพสูง ยอดขายจะมาจากการจำหน่ายสินค้า ได้ซ้ำ และความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ บริษัทจะใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อการวิจัย ค้นคว้า และพัฒนาคุณภาพสินค้า

3. รับประกันคุณภาพความพอใจในตัวสินค้า โดยการคืนเงินลูกค้าสามารถเปลี่ยนหรือ คืนสินค้าได้เมื่อต้องการภายในระยะเวลาที่เหมาะสม

4. ตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจในระยะยาว ในทุกสาขา ทุกประเทศเพราะบริษัทมีความ รับผิดชอบต่อผู้ขายซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจอย่างแท้จริง

5.การจ่ายผลตอบแทนรายได้และตำแหน่งจะขึ้นอยู่กับการทำงานของผู้ขาย นั่นคือรายได้จะมาจากยอดขายที่ขายสินค้าได้

6.การก่อตั้งธุรกิจขึ้นอยู่กับการขายสินค้าคุณภาพ ซึ่งคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปผู้ขายจะให้ความสนใจ ในการขยายตลาดให้กว้างออกไป

7.มีนักขายอสระที่อาศัยการขายสินค้า เพื่อ สร้างรายได้

8.มีกฎระเบียบที่เข้มงวดในการดำเนิน ธุรกิจ โดยเฉพาะมีข้อห้ามมิให้ผู้ขาย กักตุนสินค้า

9. ผู้ขายจะเน้นในเรื่องการ ขายสินค้า และการให้บริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง

10. ธุรกิจถูกต้องตาม กฎหมาย และเป็นการขายสินค้าอีกรูปแบบหนึ่ง นอกเหนือจากการขาย ตามห้าง หรือร้านค้าปลีก ซึ่งผู้บริโภคและบริษัท ขายตรงก็ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย



ระบบปิระมิดหรือแชร์ลูกโซ่






1.ค่าธรรมเนียมในการสมัครใช้เงินลงทุนสูง ผู้สมัครจะถูกหลอกให้จ่ายค่าฝึกอบรมและซื้อสินค้าเกินความต้องการ ผลกำไรส่วนใหญ่มาจากค่าสมัครเป็นสมาชิก (ค่าหัว)

2. ไม่สนใจที่จะจำหน่ายสินค้าคุณภาพ ส่วนใหญ่มักเป็นสินค้าคุณภาพต่ำ และได้ผลกำไรตอบแทนสูง รายได้จะมาจากการรับสมัครสมาชิกใหม ซึ่งจะต้องถูกบังคับซื้อสินค้าที่มีราคาสูงเป็นจำนวนมาก

3. ไม่มีนโยบายรับซื้อสินค้ากลับคืน เพราะอาจทำให้ระบบปิระมิดล้มได้

4. ร่ำรวยในเวลาอันรวดเร็ว (Get-Rich-Quick scheme) ผู้เข้าร่วมจำนวนมากที่ก้นปิระมิดจะเป็นผู้จ่ายเงินให้แก่คนเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในระดับจุดยอด ของปิระมิด ซึ่งธุรกิจรูปแบบนี้ไม่ยั่งยืน

5. ตำแหน่งที่ระบบสามารถซื้อได

6. ไม่เน้นการขายสินค้าให้ผู้บริโภค แต่ผลกำไรจะมาจากสมาชิกที่สมัครใหม่ ซึ่งจะต้องซื้อสินค้าตุน เพราะถูกบังคับให้ซื้อตามระบบ สมาชิกใหม่จะต้องแบกรับภาระกับสินค้าที่ตนขายไม่ได้ และเมื่อระบบปิระมิดนี้ล้มพังลง ตนก็จะไม่ได้รับเงินลงทุนกลับคืนมาเลย

7. ฉ้อฉล หลอกลวงให้คนเข้ามาในระบบ

8. ผู้เข้าร่วมจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการสมัครสูง หรือจ่ายค่าสินค้าโดยถูกบังคับให้ซื้อในตอนที่สมัคร

9. เน้นการรับสมัครสมาชิกใหม่ และบังคับให้ซื้อสินค้าเมื่อเริ่มสมัคร แต่จะไม่สนใจการขายสินค้าจริงๆ หรือการให้บริการหลังการขายแก่ลูกค้า

10. เป็นระบบที่ผิดกฎหมายในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และหลายประเทศในเอเชีย

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ปัญหาแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม

ปัญหาแรงงานซึ่งมีอยู่ในบริษัทไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่สิ่งนี้เกิดขึ้นทุกปี
ขึ้นอยู่กับว่าที่ไหนเท่านั้นเอง คนที่เป็นลูกจ้างจะต้องคอยติดตาม สถานการณ์ของบริษัทที่ตัวเองทำอยู่เรื่อยๆ เพราะไม่แน่ว่าบางครั้ง
วันนี้ทำงานอยู่ดีๆ วันรุ่งขึ้นอาจจะไม่มี่งานทำแล้วก็ได้
ดังนั้นเราควรหาอะไรรองรับสถานการณ์กันตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะอะไรๆ ก็ไม่แน่นอน

กรณีตัวอย่าง

1. กรณีพิพาทแรงงานบริษัทใน อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง มีการเจรจาต่อรองเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างระหว่างสหภาพแรงงาน
กับฝ่ายจัดการของบร
ิษัท มีการยื่นข้อเรียกร้องกันตั้งแต่ 10 มีนาคม 2553
ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ข้อพิพาทจึงเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย
โดยกระทรวงแรงงาน
มาตรการกดดันเสริมอำนาจต่อรองจึงเกิดขึ้นจาก
ทั้งสองฝ่าย

โดยสหภาพแรงงานจัดการชุมนุมประท้วงบริเวณหน้าโรงงาน และการนำขบวนพนักงานไปประท้วงที่หน้าศาลากลางจังหวัดระยอง ส่วนนายจ้างก็ได้ห้ามมิให้พนักงานที่ชุมนุมประท้วงเข้าอยู่อาศัยในหอพัก ทำให้พนักงานเกือบ 400 คน จากทั้งหมด 700 คน ต้องกินอยู่หลับนอนในเต้นท์ริมถนนหน้าโรงงานมากว่า 1 เดือน และนายจ้างได้มีการนำแรงงานต่างด้าวเข้าทำงานแทน

บริษัทแห่งนี้เป็นของไต้หวัน ทำการผลิต เหล็ก น๊อต สกร และจำหน่ายในและต่างประเทศ มีพนักงานราว 780 คน และพนักงานเหมา ไทยกับเขมร 413 คน

2. บริษัทอุปกรณ์ออกกำลังกาย ที่ ต.บ่อวิน อ.ศรีราชา ชลบุรี
มีพนักงานราว
480 คน ในวันที่ 23 มิถุนายน 2553 บริษัทฯ ได้ออกประกาศ
เรื่องการหยุดกิจการและเลิกจ้างพนักงานทุกคน ส่วนค่าจ้างและค่าชดเชยตามกฏหมายที่เหลืออยู่ จะจ่ายให้หลังจากปิดกิจการ
ไปแล้ว
90 วัน แต่ไม่มีกำหนดการจ่ายเงินที่ชัดเจน วันที่ 30 มิถุนายน 2553
ตัวแทนลูกจ้างได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมให้นายจ้าง
จ่ายค่าชดเชยตามกฏหมายเต็มจำนวนในวันที่ปิดกิจการ
ต่อรัฐมนตรีว่า
การกระทรวงแรงงาน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแล

วันที่ 3 กรกฎาคม 2553 ตัวแทนพนักงานได้เข้าไปพบผู้บริหารของ
บริษัทฯ ก็ได้รับ
คำตอบว่า ไม่มีเงินจ่ายให้และไม่ทราบว่าใน
วันที่
9 กรกฎาคม 2553 ซึ่งเป็นวันปิดกิจการจะมีเงินจ่ายค่าจ้างให้หรือไม่
ลูกจ้างกำหนดเดินขบวนไปร้องเรียนผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี
ในวันที่
6-กรกฎาคม 2553 เพื่อ

2.1.ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างที่ค้างพร้อมทั้งวันพักร้อนที่เหลือในวันปิดกิจการที่ 9 กรกฎาคม 2553

2.2. ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายในวันปิดกิจการที่ 9 กรกฎาคม 2553



3. บริษัทโรงงานรับจ้าง ตัดเย็บเสื้อผ้าให้กับยี่ห้อดัง ซึ่งเมื่อก่อนอยู่ในเครือ CP ตั้งอยู่ใน อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา มีพนักงานจำนวนมากที่มีอายุงานมากกว่า 20 ปีเป็นจำนวนมาก จะมีการปิดกิจการ การจะปิดกิจการครั้งนี้

นายจ้างใช้วิธีประกาศให้พนักงานหยุดงาน 2 วัน โดยอ้างว่าจะทำการเช็คสต็อกสินค้า เมื่อพนักงานกลับมาทำงานตามปกติ โรงงานก็ได้แจ้งให้หยุดต่ออีก 3 วัน เมื่อครบกำหนด 3 วันแล้ว พนักงานก็ได้เดินทางไปทำงานตามปกติ ในวันที่ 8 มิถุนายน 2553 พบป้ายประกาศปิดกิจการที่ประตูหน้าโรงงาน พนักงานจึงได้ติดตามทวงถาม ค่าจ้างค้างจ่ายงวดสุดท้าย 19 วัน ค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในการเลิกจ้าง ซึ่งนายจ้างรับว่าจะจ่ายให้ในวันที่ 15 มิถุนายน 2553 แต่เมื่อถึงวันก็ไม่ได้จ่าย ลุกจ้างจึงรวมตัวกับไปร้องเรียนที่ศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีตัวแทนจากกลุ่มสหภาพ CP เข้าร่วมด้วย โดยนายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างค้างชำระภายใน 18 มิถุนายน 2553 มิฉะนั้นจะถูกกระทรวงแรงงานดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป


วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โรคจากการทำงาน

โรคจากการทำงาน หมายถึง โรคหรือความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติงาน
โดยมีสาเหตุหลัก
มาจากการสัมผัสสิ่งคุกคาม หรือสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม
ลักษณะท่าทางการทำงานที่ไม่ถูกต้อง
การทำงานที่ใช้แรงงานหนักเกินความสามารถของร่างกาย
โดยที่อาการของการเจ็บป่วยนั้นอาจเกิดขึ้นขณะปฏิบัติงานหรือเมื่อได้ทำงานนั้นมาเป็น
ระยะเวลาที่ก่อให้เกิดโรคได้ หรือลาออกจากงานแล้ว



โรคเกี่ยวเนื่องกับการทำงาน
หมายถึง
โรคที่มีสาเหตุจากปัจจัยหลายอย่าง
ประกอบกัน ไม่ได้เกิดจากการทำงานโดยตรง แต่การ ทำงาน ทำให้อาการของโรคเป็นมากขึ้น











การระบาดของโรค หมายถึง การเกิดโรคขึ้นในกลุ่มพนักงาน
หรือในแผนกมากกว่าภาวะปกติของกลุ่มพนักงานทั่วไป











ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกิดโรคจากการทำงานและการระบาดประกอบด้วย
1. ตัวผู้ปฏิบัติงาน เช่น เพศ, อายุ, เชื้อชาติ, อาหาร, พฤติกรรม, การศึกษา, การกระทำ, บุคลิกภาพ, โรคประจำตัว, ระยะเวลาทำงาน, ความไวต่อการเกิดโรค, ความอ่อนเพลีย เป็นต้น
2. สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยและ/หรือโรค ประกอบด้วย ปัจจัยทางกายภาพ, ปัจจัยทางเคมี, ปัจจัยทางชีวภาพ, ปัจจัยเกี่ยวกับลักษณะงาน และท่าทางการทำงาน
3. สภาพพื้นที่ทำงาน เป็นปัจจัยที่จะกระตุ้นและส่งเสริมทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่จะทำให้โรคเกิดเร็วขึ้นหรือลดความรุนแรงลง เช่น ความสะอาดเรียบร้อย, การระบายอากาศ เป็นต้น

ซึ่งปัจจัยทั้ง 3 หากมีความสมดุลย์กัน จะไม่ก่อให้เกิดโรคกับพนักงานและการระบาดของโรคได้ ยกเว้น
1) คนที่มีความเหน็ดเหนื่อย อ่อนแอ ความต้านทานของร่างกายลดลง เนื่องจากการทำงานหนัก พักผ่อนน้อย หรือสูงอายุ เป็นต้น
2) สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยและ/หรือโรคมีปริมาณสูง ทำให้คนมีโอกาสได้รับสิ่งก่อโรคปริมาณสูง
3) สภาพพื้นที่การทำงาน มีการระบายอากาศที่ไม่ดี สถานที่ทำงานรกรุงรัง กลายเป็นแหล่งสะสมของสิ่งคุกคามที่ทำให้เกิดโรค

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คุณภาพชีวิต ?? ยามเมื่อเกษียณ


ผลสำรวจชี้ผู้สูงอายุไทย1ใน3ยากจน อยากทำงานหลังเกษียณ

ผลสำรวจเผยผู้สูงอายุไทย 1 ใน 3 มีฐานะยากจน มีรายได้แค่ 833-1,666 บาท/เดือน ส่วนใหญ่อยากทำงานหลังเกษียน เชื่อว่ายังมีความรู้ความสามารถ

แพทย์ หญิงลัดดา ดำริการเลิศ ผู้จัดการแผนงาน มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) กล่าวว่า ในอนาคตอันใกล้นี้สังคมไทยจะเผชิญกับปัญหาภาวะพึ่งพิงของประชากรสูงอายุที่ มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น แต่ประชากรวัยทำงานกลับมีสัดส่วน

ลดลง โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประมาณการณ์ว่า สัดส่วนของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 15.3 ในปี 2563 ซึ่งหมายความว่า อัตราส่วนของวัยแรงงานต้องรับภาระเลี้ยงดูผู้สูงอายุที่เข้าสู่ภาวะพึ่งพิง สูงขึ้นอีก ขณะที่การสำรวจรายได้ของผู้สูงอายุในปี 2550 พบว่า ผู้สูงอายุไทยมีรายได้ต่ำมาก โดยผู้สูงอายุที่มีรายได้ต่ำกว่า 833 บาทต่อเดือนมีประมาณ ร้อยละ 16 ต่ำกว่า 1,666 บาทต่อเดือน ร้อยละ 17 หากประเมินอย่างคร่าวๆ ประมาณร้อยละ 30 ของประชากรผู้สูงอายุมีฐานะยากจน ซึ่งแหล่งรายได้สำคัญมาจากบุตร ร้อยละ 52 และมาจากการทำงาน บำนาญและเงินออมของตนเอง ร้อยละ 39

"ผู้สูงอายุไทย 1 ใน 3 มีฐานะยากจน และหากในอีก 10 ปีข้างหน้าประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น ก็หมายความว่าประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจนเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลต่อ กระทบต่อการจ้างงานและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย"แพทย์หญิงลัด ดา กล่าว

แพทย์หญิงลัดดา กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม สังคมไทยยังไม่ได้เตรียมตัวในการเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังไม่มีการเตรียมพร้อมในด้านการสร้างหลักประกันทางรายได้ เพื่อยามชราภาพ จะเห็นได้จากการที่ ระชาชนที่แม้ทำงานในระบบที่เป็นลูกจ้างภาคเอกชน
และภาครัฐยังมีการออมเพื่อ การเกษียนที่น้อยอย
ู่
ดังนั้นเมื่อเข้าสู่วัยชรา ผู้สูงอายุเหล่านั้นจึงต้องพึ่งพิงบุตรหลานตลอดจน
ความช่วยเหลือจากรัฐ
และหากความช่วยเหลือจากรัฐนั้นต้องมาจากภาษีของประชากรวัยทำงาน ในอนาคตอันใกล้นี้ ภาระแบกรับเหล่านี้จะกลายเป็นภาระที่หนักมากสำหรับประชากรวัยทำงาน

แพทย์หญิงลัดดา กล่าวว่า จากงานวิจัยการสำรวจภาวการณ์ทำงานของผู้สูงอายุ พบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังต้องการทำงานแม้พ้นวัยเกษียณอายุแล้วก็ตาม เพราะคิดว่าตนยังคงมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะทำงานต่อและไม่ต้องการ เป็นภาระแก่บุตรหลาน ทั้งนี้ประมาณการณ์แล้ว มีผู้สูงอายุร้อยละ 30 ที่ต้องการทำงานแต่ว่างงาน และยังพยายามหางานทำอยู่ แต่จากการประมาณการความต้องการจ้างแรงงานผู้สูงอายุตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 ถึง 2562 พบว่า ความต้องการจ้างแรงงานผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ยเพียงร้อยละ 2.5 ต่อปีเท่านั้น

ดังนั้นการส่งเสริมเพื่อเพิ่มโอกาสและการสร้างงานให้กับผู้สูงอายุจึงถือ ว่าเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะสามารถช่วยให้ผู้สูงอายุได้พัฒนาศักยภาพต่อไปแล้ว จะช่วยเพิ่มช่วงเวลาการออมสำหรับใช้ในยามชราภาพและลดช่วงเวลาการเป็นภาระต่อ รัฐและประชากรในวัยทำงานได้ โดยสาขาการผลิตที่คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสามารถรองรับการจ้างแรงงานผู้ สูงอายุได้มากที่สุดคือ ภาคการขายส่ง ขายปลีก การซ่อมแซมอุปกรณ์ต่างๆ รองลงมาคือ ภาคโรงแรมและภัตตาคาร และ ภาคการผลิต

แพทย์หญิงลัดดา กล่าวว่า แนวทางการวางแผนรับมือกับปัญหาดังกล่าวนี้ รัฐบาลควรต้องมีแผนปฏิบัติงานที่ชัดเจนในการส่งเสริมสนับสนุนการมีงานทำที่ สอดคล้องกับสมรรถนะของผู้สูงอายุ เพื่อสร้างรายได้แก่ผู้สูงอายุ ให้ผู้สูงอายุสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิศรี เพราะจากการเปรียบเทียบผลการประมาณการกำลังแรงงานผู้สูงอายุ และความต้องการจ้างแรงงานผู้สูงอายุในปี พ.ศ. 2552 ถึง 2562 พบว่า กำลังแรงงานผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าความต้องการจ้าง แรงงานผู้สูงอายุ ดังนั้น การจัดการเพื่อขยายโอกาสการทำงานของผู้สูงอายุ จึงเป็นประเด็นสำคัญและเร่งด่วนในการเตรียมความพร้อม เพื่ออนาคตและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุ


โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์